ฮุก่ม(ข้อตัดสิน)ของการเย้ยหยันต่อหลักการศาสนาอิสลาม

·

คำถาม อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า : “(จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าต่ออัลลอฮฺ และบรรดาโองการของพระองค์และรอซูลของพระองค์กระนั้นหรือที่พวกท่านเย้ยหยันกัน ? พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธา แล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน)” (อัลกุรอ่าน 9:65-66) โองการนี้บ่งชี้ว่าคนที่เย้ยหยันศาสนา อัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เขาใช่ไหมครับ ?

คำตอบ ผู้ใดเย้ยหยันหลักการศาสนาอิสลามหรือเย้ยหยันผู้ที่เป็นมุสลิมไม่ว่าชายหรือหญิงด้วยสาเหตุเพราะเขายึดมั่นในหลักการอิสลาม  คนคนนั้นถือเป็นกาเฟร (ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์) 
เนื่องจากมีรายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ บิน อัมร์1 – ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ – ว่า :  ชายคนหนึ่งได้กล่าวขึ้นในวงสนทนาของเขาขณะอยู่ในช่วงสงครามตะบูก โดยเขาได้กล่าวว่า : “ฉันไม่เคยเห็นใครเหมือนบรรดานักอ่านอัลกุรอ่านของพวกเรา ที่ชอบกินจุมากกว่าคนอื่น ลิ้นที่ชอบพูดจาโกหกมากกว่าใคร และขี้ขลาดตาขาวที่สุดเมื่อพบเจอศัตรู (ซึ่งกำลังหมายถึงบรรดาศ่อฮาบะฮ์ของท่านร่อซู้ล)” ทันใดนั้นชายอีกคนก็กล่าวขึ้นว่า : “เจ้าโกหก ! ทว่าอันที่จริงเจ้าคือมุนาฟิก , ฉันจะ(เอาเรื่องนี้)ไปฟ้องท่านนบี !” 
และเมื่อเรื่องนี้ทราบถึงหูท่านนบี ‎ﷺ และโองการอัลกุรอ่านก็ได้ถูกประทานลงมา , ท่านอับดุลลอฮ์ บิน อุมัร จึงได้กล่าวว่า : “ฉันเห็นชายคนดังกล่าว (ที่เยาะเย้ยบรรดาศ่อฮาบะฮ์) เกาะอยู่ที่คออูฐของท่านนบี ‎ﷺ และเท้าของเขาก็ลากขูดไปกับก้อนหิน พร้อมกับกล่าวอ้อนวอนต่อท่านนบี ‎ﷺ ว่า : “โอ้ร่อซู้ลเอ๋ย จริง ๆ ฉันเพียงแค่หยอกล้อและพูดเล่นกันเท่านั้นเอง” … ซึ่งท่านร่อซู้ล ‎ﷺ ได้กล่าวตอบไปว่า :
 أَبِاللَّهِ وَآيَاتِهِ وَرَسُولِهِ كُنْتُمْ تَسْتَهْزِئُونَ (65) لاَ تَعْتَذِرُوا قَدْ كَفَرْتُمْ بَعْدَ إِيمَانِكُمْ
“ต่ออัลลอฮฺ และบรรดาโองการของพระองค์และรอซู้ลของพระองค์กระนั้นหรือ ที่พวกท่านเย้ยหยันกัน !? พวกท่านอย่าได้แก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน…” (อัลกุรอ่าน 9:65-66)
จากโองการนี้ ได้ทำให้การล้อเลียนเย้ยหยันต่อบรรดาผู้ศรัทธา มีค่าเท่ากับการเย้ยหยันต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ล. ดังนั้นการล้อเลียนเย้ยหยันในเรื่องศาสนาจึงนับเป็นกุฟร์ (ปฏิเสธศรัทธา) ที่ทำให้หลุดออกจากแนวทางอิสลามได้
ถึงกระนั้น ก็ยังมีช่องทางให้สามารถกลับเนื้อกลับตัว (เตาบัต) ได้ ด้วยดำรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ว่า : 
قُلْ يَاعِبَادِيَ الَّذِينَ أَسْرَفُوا عَلَى أَنْفُسِهِمْ لاَ تَقْنَطُوا مِنْ رَحْمَةِ اللَّهِ إِنَّ اللَّهَ يَغْفِرُ الذُّنُوبَ جَمِيعًا إِنَّهُ هُوَ الْغَفُورُ الرَّحِيمُ
“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย! บรรดาผู้ละเมิดต่อตัวของพวกเขาเอง พวกท่านอย่าได้หมดหวังต่อพระเมตตาของอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอภัยความผิดทั้งหลายทั้งมวล แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลกุรอ่าน 39:53)
เมื่อมนุษย์คนหนึ่งสำนึกผิดต่ออัลลอฮ์ สัจจริงในการสำนึกผิดนั้น แม้นว่าบาปนั้นจะเป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ (ชิริก) แล้วเขาก็เสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นจากบาปที่ได้กระทำไป และพยายามประกอบคุณงามความดีติดตามมา แน่นอนว่าอัลลอฮ์ย่อมตอบรับคำสำนึกผิดและอภัยโทษให้แก่เขา ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์จะทรงเปลี่ยนความชั่วของเขาให้กลายเป็นความดีงาม
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสถึงคุณลักษณะของบ่าวของพระองค์ที่ดี ว่า :
وَالَّذِينَ لاَ يَدْعُونَ مَعَ اللَّهِ إِلَهًا آخَرَ وَلاَ يَقْتُلُونَ النَّفْسَ الَّتِي حَرَّمَ اللَّهُ إِلاَّ بِالْحَقِّ وَلاَ يَزْنُونَ وَمَنْ يَفْعَلْ ذَلِكَ يَلْقَ أَثَامًا (68) يُضَاعَفْ لَهُ الْعَذَابُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَيَخْلُدْ فِيهِ مُهَانًا (69) إِلاَّ مَنْ تَابَ وَآمَنَ وَعَمِلَ عَمَلاً صَالِحًا فَأُولَئِكَ يُبَدِّلُ اللَّهُ سَيِّئَاتِهِمْ حَسَنَاتٍ وَكَانَ اللَّهُ غَفُورًا رَحِيمًا (70) وَمَنْ تَابَ وَعَمِلَ صَالِحًا فَإِنَّهُ يَتُوبُ إِلَى اللَّهِ مَتَابًا
และบรรดาผู้ที่ไม่วิงวอนขอพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮฺ และพวกเขาไม่ฆ่าชีวิตซึ่งอัลลอฮฺทรงห้ามไว้ เว้นแต่เพื่อความยุติธรรม และพวกเขาไม่ผิดประเวณี และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาจะได้พบกับความผิดอันมหันต์ * การลงโทษในวันกิยามะฮฺถูกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสำหรับเขา และเขาจะอยู่ในนั้นอย่างอัปยศ * เว้นแต่ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัว และศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้นแหละอัลลอฮจะทรงเปลี่ยนความชั่วของพวกเขาเป็นความดี และอัลลอฮเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ * และผู้ใดกลับเนื้อกลับตัวและกระทำความดี แท้จริงเขากลับเนื้อกลับตัวเข้าหาอัลลอฮฺอย่างจริงจัง” (อัลกุรอ่าน 25:68-71)

แหล่งที่มา; ฟะตาวา อัลลัจนะฮ์ อัดดาอิมะฮ์ คณะกรรมการถาวรฯ คำถามที่

  1. ดู”ศ่อเฮียะฮ์ อัสบาบิ้ลนุซูล” (122) ↩︎